Yo!

Yo!

Wednesday, March 12, 2008

ปวดเศียรเวียนเกล้า---เหตุเพราะภาษาไทย

มาปวดหัวกันเถอะ^^
ไม่ใช่อะไรหรอก แต่มาลองฝึกแต่งเรื่องจากคำที่กำหนดให้กัน ฮะฮะ รู้แหละค่ะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเลือกคำมาบรรยายให้เข้ากันกับเรื่องที่แต่ง แต่ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ ฝึกการใช้ภาษาไทยกันเนอะ
เรื่องที่โพสนี้เคยเป็นงานชิ้นหนึ่งของวิชาภาษาไทยตอนม.3 “นำคำที่กำหนดให้มาแต่งเป็นเรื่องราวโดยให้เนื้อเรื่องอยู่ภายในอาณาเขตบริเวณของโรงเรียน” ใช้เวลาแต่ง 2 ชั่วโมง! ความจริงแล้วครูให้เวลา 15 นาที! ก็มันเหลือเวลาแค่ 15 นาทีจริงๆแหละก่อนจะหมดชั่วโมงถึงเวลาที่ต้องส่ง แต่ดันใช้เวลาไปตั้ง 2 ชั่วโมงแหนะ โดนครูดุเลย...
แต่เราว่ามันคุ้มนะ ที่ใช้เวลาแต่งเรื่องนี้นานกว่าเพื่อนๆเค้า งานชิ้นนี้ได้คะแนนเต็ม ไม่อยากจะเชื่อเลย นึกว่าคะแนนจะหายหมดเพราะส่งช้าเสียแล้ว ครูเอามาอ่านให้ในห้องฟังด้วย^^ อายนิดๆ ภูมิใจหน่อยๆ แล้วก็ขำเพื่อนที่ทำปากงอนๆใส่ ก็อ้างอิงเอานิสัยของเพื่อนมาใส่ในเรื่องน่ะสิ ทำไงได้ล่ะ แต่งไปแต่งมานึกไม่ออกนี่หน่าว่าจะแต่งต่อยังไง พอดีเพื่อนคนนี้นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายชีวิตแต่งเรื่องของตัวเองอยู่ตรงหน้าพอดี เลยถูกจับมาเป็นตัวละครด้วยเสียเลย--

บรรยายมาเยอะ เอางานไปดูเลยก็แล้วกันนะคะ


คำที่(ครู)กำหนดให้
1.กงสุล 2.กรณี 3.กะไกร 4.กระชุ่มกระชวย 5.กระปริดปะปรอย 6.กะเพรา 7.กันดาร 8.กัลปาวสาน 9. การุญ 10.กำมะถัน 11.กำมะลอ 12.กำมะหยี่ 13.ขยะแขยง 14.ขมีขมัน 15.ขมุกขมัว 16.ขยุกขยิก 17.ใคร่ครวญ 18.จรรโลง 19.จระเข้ 20.ต้นจันทร์ 21.ชัชวาล 22.เชิ้ต 23.ซาบซ่าน 24.ตั๊กแตน 25.เต็นท์


ทำการบ้านในบรรยากาศโรงเรียน
ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านกันหมด แต่ครูพละกันนักเรียนบางส่วนยังคงวิ่งออกกำลังกายรอบโรงเรียนอย่างกระชุ่มกระชวย วันนี้ครูชัชวาลก็ร่วมวิ่งด้วย หมวกกำมะหยี่ที่ครูสวมนั้นเข้าชุดกับเสื้อเชิ้ตลายจระเข้ยี่ห้อดัง ฉันยิ้มอย่างขำขันเมื่อนึกภาพว่ามันเป็นของกำมะลอ

เสียงนกร้องที่ดังขึ้นเป็นระยะ ช่วยเพิ่มบรรยากาศการทำการบ้านใต้ต้นตะเคียนในโรงเรียนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ที่ทำงานประจำของฉันกับเพื่อนรักหรอก แต่ด้วยความขยะแขยงต่อซอสพริกที่มันักเรียนนิรนามทำหกเลอะเทอะเต็มโต๊ะประจำนั้นทำให้ฉันกับเพื่อนรักต้องย้ายมาทำการบ้านที่ใต้ต้นตะเคียนนี่

หลังจากทำใบงานเรื่องกำมะถันของวิชาวิทยาศาสตร์เสร็จแล้ว ฉันก็นั่งวาดรูปต้นจันทร์ในใบงานวิชาสังคมอย่างขมีขมัน แล้วจึงวาดรูปบ้านในชนบทที่กันดารลงไปเพิ่ม ส่วนเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็กำลังใช้กรรไกรตัดรูปตั๊กแตนออกจากนิตยสารท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพื่อเอาไปใช้ในรายงานการสำรวจสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน พลางขยับตัวขยุกขยิกไล่ยุงที่หมายจะกัดตัว แต่ไม่มีนิยายรักประเภทพระเอกกับนางเอกครองรักกันไปชั่วกัลปาวสารวางอยู่ข้างตัวเหมือนเคย เพราะฉันขอร้องไม่ให้นำนิยายมาที่โรงเรียนได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ทำราบงานเรื่องโรคกระปริดประปรอยที่ค้างอยู่จนเสร็จเป็นแน่

แล้วฉันก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหลังจากก้มหน้าก้มตาทำการบ้านมาเป็นเวลานานพอสมควร ฉันมองไปยังต้นไม้รอบๆตัวเพื่อพักสายตา ภารโรงเช็ดกระจกขมุกขมัวของหน้าต่างตึกเรียนเสร็จพอดี เขาหันมายิ้มให้ฉันอย่างการุญ ฉันยิ้มตอบแล้วหันมาทำการบ้านของตนเองต่อ

นั่งเขียนเรียงความต่อสักพักก็ต้องสะกิดปลุกเพื่อนจากฝันกลางวันกลับมาทำงานต่อ จากการที่ฉันใคร่ครวญสีหน้าของเพื่อนรักขณะเหม่อลอยแล้ว คงจะใจลอยไปถึงข้าวผัดกะเพราที่จะได้ทานในตอนเย็น หรือไม่ก็คงคิดถึงการไปเที่ยวต่างจังหวัด นอนเต็นท์กลางแจ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นแน่ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกสำหรับสุดสัปดาห์นี้ เพราะว่าทางโรงรียนจะพาไปทัศนศึกษาที่กุงสุลใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นโชดดีของนักเรียนจริงๆ เพราะการพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่กงสุลใหญ่นั้นต้องขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษ คิดได้ดังนี้ความรู้สึกรักโรงเรียนก็ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ฉันรักโรงเรียนนี้จริงๆ


จบแล้ว.....จบจนได้..........ในที่สุดก็จบ..................เฮ้อ!

No comments: