Yo!

Yo!

Tuesday, November 11, 2008

You raise me up

sung by TVXQ with Yeh Eeh


When I'm down,
oh my soul so weary
When troubles come,
my heart burdened be
Then I'm still and wait here in silence
Until you come and sit awhile with me


You raise me up
so I can stand on moutains
You raise me up
to walk on stormy seas


I am strong
when I am on your shoulders
You raise me up
to more than I can be


You raise me up
So I can stand on moutains
You raise me up
to walk on stormy seas


I am strong
when I'am on your shoulders
You raise me up
to more than I can be.

Friday, July 4, 2008

ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) #4 ~ Sonata

โซนาตา (Sonata)

โซนาตา เป็นคำภาษาอิตาเลียน (Italian Sonare, “to sound”) หมายถึง ฟัง จัดเป็นบทเพลงที่มีความสำคัญและมีบทบาทตลอดมาตั้งแต่สมัยบาโรคจนถึงสมัยปัจจุบัน คล้ายคลึงกับลักษณะของคอนแชร์โต โซนาตา มีอยู่สองลักษณะ คือ โซนาตาที่บรรเลงเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีเล็ก ๆ ซึ่งเป็นโซนาตาแบบหนึ่งในสมัยบาโรค และโซนาตาที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีชนิดเดียว หรือ สองชนิด แต่เน้นการแสดงออกของเครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียว โดยมีเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งคลอให้บทเพลงสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งอาจเรียกว่า โซโลโซนาตาได้ โซนาตาในลักษณะนี้เป็นความหมายของโซนาตาที่ใช้กันตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงปัจจุบัน (ณรุทธ์ สุทธจิตต์ ,2535 :119)

นอกจากนี้ ณัชชา โสคติยานุรักษ์ (2542:72) ได้ให้ความหมายของคำว่า “โซนาตา”แปลว่า “เสียง” เมื่อพูดถึงโซนาตา อาจหมายถึง ประเภทของบทประพันธ์หรือประเภทของสังคีตลักษณ์ก็ได้ โซนาตาที่เป็นประเภทของบทประพันธ์ เป็นเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว เช่น เปียโนโซนาตา ก็คือ บทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโน ไวโอลินโซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน ฟลูทโซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวฟลูท อนึ่งเพลงเดี่ยวสำหรับเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่เปียโนจะมีเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบซึ่งมึกเป็นเปียโน บทบาทของเครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบในสมัยแรก ๆ จะเป็นแนวสนับสนุนเท่านั้น แต่ในสมัยต่อ ๆ มา เครื่องดนตรีประกอบจะเปลี่ยนบทบาทเป็นการบรรเลงร่วมกันหรือโต้ตอบกันมากกว่า ความสำคัญของบทบาทใกล้เคียงกันมากขึ้น บทประพันธประเภทโซนาตามักประกอบด้วย 3 หรือ 4 ท่อน ท่อนแรกมักอยู่ในอัตราจังหวะเร็ว ท่อนที่ 2 อยู่ในอัตราจังหวะช้า ท่อนที่ 3 มักอยู่บรรยากาศที่ร่าเริงสนุกสนานในจังหวะเต้นรำแบบมินูเอต

ประวัติของโซนาตาโซนาตา เป็นบทเพลงที่มีมาตั้งแต่สมัยบาโรค ซึ่งมีลักษณะเฉพาะต่างไปจากโซนาตาในสมัยคลาสสิก จึงเรียกว่า “บาโรคโซนาตา” โซนาตาในลักษณะนี้เป็นบทเพลงสำหรับวงดนตรีเล็กใน ลักษณะของแชมเบอร์มิวสิก โดยมีเครื่องดนตรีตั้งแต่หนึ่งชิ้นจนถึงหกหรือแปดชนิด ทีนิยมมากในสมัยนี้ คือ ทริโอโซนาตาเป็นบทเพลงสำหรับไวโอลินสองเครื่องและเครื่องบรรเลงแนวเบส (Continuo) อีกสองชิ้น โซนาตา

ในสมัยบาโรคมีสองลักษณะคือ โซนาตาสำหรับวัด (Church sonata) เป็นเพลงชั้นสูงเน้นรูปแบบการสอดประสานทำนอง (Contrapuntal texture) ประกอบด้วย 4 ท่อน (ช้า – เร็ว – ช้า - เร็ว) และโซนาตาคฤหัสถ์ (Chamber sonata) เป็นเพลงบรรเลงตามบ้านมีลักษณะเป็นเพลงชุดเต้นรำในรูปแบบของ Binary form เช่น ประกอบด้วย Prelude – Allemande – Courante – Sarabande Gigue ( หรือ Gavotte)

ในสมัยคลาสสิก โซโลโซนาตาเริ่มเข้ามามีบทบาทมากกว่าบาโรคโซนาตา จึงเรียกโซโลโซนาตา อีกชื่อหนึ่งว่า “คลาสสิกโซนาตา” ลักษณะของโซนาตาในสมัยคลาสสิกตอนต้นยังมีลักษณะไม่แน่นอนอาจจะมีเพียงท่อนเดียว หรือสามท่อน (เร็ว – ช้า - เร็ว) รูปแบบพัฒนามาเรื่อยจนมีรูปแบบแน่นอน คือ มีลักษณะคล้ายซิมโฟนี คือ มี 4 ท่อน หรือ คล้ายคอนแชร์โต คือ มี 3 ท่อน เครื่องดนตรีที่นิยมในการประพันธ์โซนาตา คือ เปียโน และไวโอลิน ไฮเดิน โมทซาร์ และเบโธเฟน คือผู้ประพันธ์เพลงที่ให้ความสนใจกับการประพันธ์ เพลงประเภทนี้เช่นเดียวกับซิมโฟนีและคอนแชร์โต ไฮเดินประพันธ์ โซนาตาไว้ทั้งหมด 62 บท โมทซาร์ทประพันธ์ไว้ 21 บท และประมาณ 37 บท ประพันธ์โดยเบโธเฟน ปกติโซนาตาสำหรับเปียโนใช้เปียโนบรรเลงเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นโซนาตาของเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลิน ฟลูท ทรัมเป็ต ฯลฯ มักใช้เปียโนคลอไปด้วย

ในสมัยโรแมนติก ผู้ประพันธ์เพลงคนสำคัญ ๆ ยังคงนิยมประพันธ์เพลงโซนาตา โดยเฉพาะเปียโนโซนาตา ไม่ว่าจะเป็น ชูเบิร์ท ชูมานน์ ลิสซท์ โชแปง และบราห์มส์ รวมทั้งผู้ประพันธ์รุ่นหลัง เช่น ดวอชาค กรีก แซงค์ – ซองส์ สเตราส์ ไชคอฟสกี และวากเนอร์ โซนาตายังคงเป็นบทเพลงที่ผู้ประพันธ์ในศตวรรษที่ 20 สนใจ แม้จะมีบทเพลงในลักษณะอื่น ๆ ที่นิยมประพันธ์กันมากกว่าโซนาตา ผู้ประพันธ์เพลงในยุคนี้ที่มีผลงานด้านโซนาตา ได้แก่ เดอบูสซี เบิร์ก ไอฟส์ เป็นต้น (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2535: 120)

ลักษณะของโซนาโตลักษณะที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นลักษณะของคลาสสิกโซนาตา ซึ่งเป็นรูปแบบที่สำคัญ ซึ่งต่อมาในสมัยโรแมนติก และในสมัยปัจจุบันยังใช้ลักษณะเช่นนี้อยู่ ประกอบด้วย 3 หรือ 4 ท่อน ซึ่งมีรูปแบบแต่ละท่อนดังนี้

ท่อนแรก มีจังหวะเร็ว (Allegro) บางครั้งมีบทนำที่ช้า ใช้รูปแบบโซนาตาอัลเลโกรลักษณะซับซ้อนเร้าใจ

ท่อนที่ 2 จังหวะช้า (Andante, Largo หรือ Lento) รูปแบบที่นิยม ได้แก่ Sonata – allegro form, Ternary form, Binary form, Theme and Variation ลักษณะช้ามีแนวทำนองไพเราะ เน้นการแสดงออกของอารมณ์

ท่อนที่ 3 มีจังหวะเร็วหรือค่อนข้างเร็ว (Allegro หรือ Allegretto) รูปแบบ คือ มินูเอท หรือ สเคร์กโท (expanded ternary form) ลักษณะเป็นจังหวะเต้นรำส่วนใหญ่จะเป็นอัตราจังหวะ 3/4

ท่อนที่ 4 มีจังหวะเร็ว (Allegro, Presto) รูปแบบอาจจะเป็นโซนาตาอัลเลโกร หรือ รอนโด ลักษณะเร็ว มีพลังในตอนจบ

โซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว เช่น เปียโน จะใช้เปียโนบรรเลงเครื่องเดียวเนื่องจากเปียโนสามารถบรรเลงทั้งแนวทำนองและแนวประสานเสียงได้ในเครื่องเดียวกัน ส่วนโซนาตา สำหรับเครื่องดนตรีชนิดอื่นมักจะมีเปียโนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ เนื่องจากเครื่องดนตรีอื่น ๆ ไม่สามารถบรรเลงทั้งแนวทำนองและแนวประสานเสียงได้ เช่น ไวโอลินโซนาตา หมายถึงเป็นโซนาตาสำหรับไวโอลิน โดยมีเปียโนคลอ ความสำคัญหรือจุดเด่นจะอยู่ที่ไวโอลินมากกว่าเปียโน โซนาตาเป็นบทเพลงที่เน้นการแสดงออกของผู้บรรเลง เทคนิคของเครื่องมือ และแนวคิดของการประพันธ์ จึงจัดเป็นเพลงที่น่าสนใจและศึกษาทั้งในลักษณะของการประพันธ์ และเทคนิควิธีเล่น อย่างไรก็ตามเนื่องจากโซนาตาเป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียว สีสันจะมีไม่ได้มากเท่าเพลงประเภทออร์เคสตรา แต่ความลึกซึ้งของเทคนิควิธีการประพันธ์ การแปรเปลี่ยนความซ้ำซากให้ต่างออกไป ตลอดจนการใช้องค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรีเข้ามาเป็นหลักการประพันธ์ทำให้โซนาตาเป็นเพลงที่น่าสนใจฟังตลอดมาโครงสร้างของโซนาตาเนื่องจากรูปแบบของโซนาตาพัฒนามาจากรูปแบบสองตอนแบบย้อนกลับ จึงมีโครงสร้างเป็น 2 ตอน แต่เดิมรูปแบบของโซนาตาก็ใช้เครื่องหมายย้อยกลับ โดยในแต่ละตอนต้องเล่นซ้ำ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเพลงยาวขึ้น บางครั้งผู้แต่งเขียนเครื่องหมายซ้ำเฉพาะในตอนแรก ส่วนในตอนหลังไม่มีเครื่องหมายซ้ำ (Repeat) ในการบรรเลงจริงผู้เล่นอาจเคร่งครัดกับเครื่องหมายซ้ำหรือไม่ก็ได้ ทำให้ระเบียบปฏิบัติในเรื่องของการซ้ำมีความจริงจังน้องลง อย่างไรก็ตาม ผู้แต่งยังคิดเป็น 2 ตอนอยู่ดี เพียงแต่ต้องตัดการซ้ำออกไปเนื่องจากสัดส่วนที่ยาวเกินไปลักษณะอีกประการหนึ่งของการบรรเลงเพลงโซนาตาที่ต่างไปจากเพลงแชมเบอร์มิวสิก คือ ผู้บรรเลงจะไม่ดูโน้ตเพลง ต้องบรรเลงจากความจำ จึงมีคำว่า “รีไซทอล” (Recital) เกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้บรรเลงแสดงออกได้อย่างเต็มที่ และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม ผู้บรรเลงในลักษณะนี้มักเรียกว่า “เวอร์ทูโอโซ”

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า โซนาตาสำหรับวงออร์เคสตรา คือ ซิมโฟนี และซิมโฟนีสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว คือ โซนาตา

ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) #3 ~ Opera

โอเปรา (Opera)

โอเปรา คือ ละครที่มีเพลงและดนตรีเป็นหลักสำคัญในการดำเนินเรื่องราว โอเปราจึงเป็นผลรวมของศิลปะนานาชนิดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วรรณกรรม คือ บทร้อง เครื่องละคร การแสดง การเต้นรำ การร้องและการเล่นดนตรี ตลอดระยะเวลาร่วม 400 ปีที่เกิดมีโอเปราขึ้นมานั้น รูปแบบของโอเปรามีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่เสมอโอเปราจึงมีหลายประเภทการที่จะซาบซึ้งในโอเปรานั้นอาจเกิดจากการฟังได้ อย่างไรก็ตามการเข้าใจและซาบซึ้งในโอเปราอย่างแท้จริงน่าจะเป็นผลของการมีประสบการณ์ที่ได้ชมการแสดงโอเปราจริง ๆ ซึ่งทำให้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ดำเนินไปตั้งแต่การร้อง เสียงดนตรีประกอบการแสดง และฉาก สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจลักษณะของโอเปราและนำไปสู่ความซาบซึ้งได้ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535: 89)

องค์ประกอบของโอเปรา องค์ประกอบสำคัญของโอเปราประกอบด้วย เนื้อเรื่อง ดนตรี และผู้แสดง

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองที่มาจากตำนาน เทพนิยายนิทานโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงอุปรากรโดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนองดนตรี คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเรื่องทำเนื้อเรื่องให้เป็นบทร้อยกรองหรือบทละครสำหรับขับร้อง และแต่งดนตรีประกอบทั้งเรื่องด้วยดนตรี ดนตรีในโอเปรานั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้โอเปรามีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยดนตรีบรรเลงโหมโรง(Overture) บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญจนโอเปราได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรี หรือ คีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง หรือ บทขับร้อง เช่น โอเปราเรื่อง Madame Butterfly Giacomo ของ Puccini (1878-1924)ปุกซินี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (David Belasco ได้เค้ารื่องนี้จากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้ร้อยกรองเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa แต่เมื่อพูดถึงโอเปราเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวีปุกซินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์ หรือ กวีผู้ร้อยกรองเรื่องให้เป็นบทขับร้อง หรือโอเปราเรื่อง Carmen ของ Georges Bizet ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่าโอเปราเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา (Orchertral)

ผู้แสดง

ผู้แสดงโอเปรานอกจากต้องเป็นนักร้องที่เสียงไพเราะ ดังแจ่มใสกังวานมีพลังเสียงดีแข็งแรงร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ แล้วยังเป็นผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามรถในการขับร้อง และบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้อง แบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้

1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซ – โซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย

ลักษณะของโอเปรา

การศึกษาโอเปราให้เข้าใจถ่องแท้ ควรจะต้องศึกษาเนื้อเรื่องแต่ละเรื่องของโอเปรา รวมทั้งฉากต่าง ๆ ผู้แสดง ดนตรี และเพลงด้วย ซึ่งไม่สามารถนำมากล่าวได้ ณ ที่นี้ สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเพียงองค์ประกอบทั่ว ๆ ไป และประเภทของโอเปราเท่านั้น

ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2535: 90) ได้แบ่งลักษณะของโอเปรา ดังนี้

1. ลิเบรตโต (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของโอเปรา บางครั้งบทโอเปราอาจจะเป็นบทหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งบทโอเปราก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งเนื้อเรื่องขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ประพันธ์เพลงใช้เป็นบทแต่งโอเปรา เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทโอเปราบางเรื่องให้กับโมทซาร์ท เช่น เรื่อง Don Giovanni บัวตา (Boita) เขียนบทโอเปราบางเรื่องให้กับแวร์ดี เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทโอเปราเป็นบทประพันธ์ของผู้ประพันธ์เพลงเองโดยแท้ เช่น วากเนอร์ ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมโนตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น

2. โอเวอร์เชอร์ (Overture) คือ บทประพันธ์ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ใช้เป็นเพลงนำก่อนการแสดงโอเปรา อาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า “เพลงโหมโรง” บางครั้งอาจใช้คำว่าเพรลูด (Prelude) แทนโอเวอร์เชอร์ เพลงโอเวอร์เชอร์อาจจะเป็นเพลงที่แสดงถึงบรรยากาศของโอเปราที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าโอเปราเป็นเรื่องเศร้าโอเวอร์เชอร์จะมีทำนองเศร้า ๆ อยู่ในที เป็นต้น บางครั้งโอเวอร์เชอร์อาจเป็นเพลงที่รวมทำนองหลักของโอเปราฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ โอเวอร์เชอร์มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 4-8 นาที ปกติจะใช้วงออร์เคสตราทั้งวงบรรเลง ถ้าโอเปราเรื่องนั้นใช้วงออร์เคสตราประกอบ ลักษณะของเพลงโอเวอร์เชอร์ มักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย , สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้โอเวอร์เชอร์เป็นบทเพลงที่ชวนฟังโอเวอร์เชอร์ของโอเปราบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นเพลงบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป

3. รีซิเททีฟ (Recitative) คือบทสนทนาในโอเปราที่ใช้การร้องแทนการใช้คำพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองเพลงมากนัก มักจะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องหรือดนตรีอีกประเภทหนึ่ง

4. อาเรีย (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในโอเปรา มีลักษณะตรงกันข้ามกับรีซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีเป็นหลัก มากกว่าจะเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครตัวเดียวร้อง

5.บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีคนร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรียเรียกว่า ดูโอ (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า ทรีโอ (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า ควอเต็ต (Quartet) และ ควินเต็ต (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงของโอเปรามาก

6. บทร้องประสานเสียง (Chorus) ในโอเปราบางเรื่องที่มีฉากประกอบด้วยผู้เล่นเป็นจำนวนมาก มักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงจากโอเปราที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil Chorus” จาก II Irovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จาก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida

7. ออร์เคสตรา (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นโอเวอร์แล้ว ยังใช้ประกอบการร้องในลักษณะต่าง ๆ ในโอเปราตลอดเรื่องในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้องเพื่อต่อเนื่องการร้องหรือริซิเททีฟแต่ละตอนหรือสร้างอารมณ์ในเนื้อเรื่องให้เข้มข้นขึ้นบางครั้งวงออร์เคสตราจะมีบทบาทในโอเปรามากทีเดียว เช่น โอเปรา ที่แต่งโดยวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตราเสมอ

8. ระบำ (Dance) ในโอเปราแทบทุกเรื่องมักจะมีบางตอนของฉากใด ฉากหนึ่งที่มีระบำประกอบ ในบางครั้งอาจจะเป็นระบำบัลเลท์ ซึ่งมักจะเป็นของคู่กันโอเปราแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ท

9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) โอเปราก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นตอน ๆ เรียกว่า องก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น Carmen เป็นโอเปรา ประกอบด้วย 4 องก์เป็นต้น

10. ไลม์โมทีฟ (Leitmotif) ในโอเปราบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ และแนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาในโอเปราเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ของ Ring Cycle และ Love motive ใน Tristan and Isolde

ประเภทของโอเปรา

1. โอเปรา (Opera) โดยปกติคำว่า “โอเปรา” มักจะใช้จนเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึงโอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นโอเปราที่ผู้ชมต้องตั้งใจดูอย่างมากเพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และรีซิเททีฟไม่มีการพูดสนทนาซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง เช่นเดียวกับการเข้าถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ การชมโอเปราประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และมีความเข้าใจในองค์ประกอบของโอเปรา โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริงเรื่องราวของโอเปราประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องของความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or tragic drama)

2. โคมิค โอเปรา (Comic Opera) คือ โอเปราที่มักจะมีเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียนคน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง โอเปราประเภทนี้จะดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไพเราะไม่ยากเกินไป โคมิคโอเปรามีหลายประเภท เช่น Opera – comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมัน)

3. โอเปเรตตา (Operetta) โอเปอเรตตาจัดเป็นโอเปราขนาดเบามีแนวสนุกสนานทันสมัยอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ่มกระจุ๋ม คล้าย ๆ กับ โคมิคโอเปรา โดยปกติโอเปเรตตาใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา

4. คอนทินิวอัส โอเปรา (Continuous opera) เป็นโอเปราที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปรานี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปราที่เขาเป็นผู้ประพันธ์

ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) #2 ~ Concerto

คอนแชร์โต (Concerto)

ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2535 :80 - 81) ได้กล่าวถึงความหมายของคอนแชร์โตไว้ว่าเป็นคำภาษาฝรั่งเศส มีความหมายว่าการนำมารวมกัน (To join together) คำว่า คอนแชร์โนนี้ใช้ในความหมายที่เกี่ยวพันกับคำในภาษาอิตาเลียน คือ Concertare ซึ่งหมายถึง การรวมกัน กล่าวคือ ผู้แสดงร้องหรือบรรเลงดนตรีร่วมกัน เช่น ผู้ร้องเดี่ยวร้องร่วมกับวงประสานเสียง วงประสานเสียงสองวงร้องร่วมกัน ผู้ร้องร่วมแสดงกับวงดนตรี ความหมายเช่นนี้เริ่มใช้ในศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 ในช่วงศตวรรษที่ 17 ความหมายของคอนแชร์โต มีเพิ่มขึ้นมาโดยดึงรากศัพท์มาจากภาษาละติน หมายถึง การประชันหรือสู้กัน (Fighting of Contending) ซึ่งมีความหมายถึงการประชันกันระหว่างเครื่องดนตรีเดี่ยวกับวงออร์เคสตรา อันเป็นความหมายที่ใช้ในปัจจุบันจึงเห็นได้ว่า คอนแชร์โตมีความหมายหลายนัย การจะทราบว่า คอนแชร์โต หมายถึงสิ่งใดแน่จึงต้องดูถึงสภาพการณ์หรือสถานการณ์ในการใช้คำนี้คอนแชร์โต เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน หมายถึง การประชันหรือสู้กัน (Fighting of Contending) มีความหมายถึงการประชันกันระหว่างเครื่องดนตรีเดี่ยวกับวงออร์เคสตรา คอนแชร์โตเป็นประเภทของบทเพลงที่ประกอบด้วย 3 ท่อน (Movement) คือ

ท่อนที่ 1 (First Movement) เป็นบทนำของเพลง ความเร็วจังหวะใช้ในลักษณะเร็ว แบบ อัลเลโกร (Allegro)

ท่อนที่ 2 (Second Movement) โดยทั่วไปจะเป็นท่วงทำนองที่ช้าเป็นการพัฒนาทำนองหลักของบทเพลง(Theme)มีลักษณะช้าใช้ในลักษณะของอันตาลเต (Andante), อะดาจิโอ (Adagio), หรือลาร์โก (Largo)

ท่อนที่ 3 (Third Movement) ลักษณะของโครงสร้างมักจะเป็นลักษณะของความเร็วแบบสนุกสนาน เร็ว อาจจะเป็น อัลเลโกร (Allegro),อัลเลเกร็ตโต(Allegretto), วิวาเช (Vivace)

เครื่องดนตรีที่นิยมนำมาประพันธ์เพื่อบรรเลงเดี่ยวประเภทคอนแชร์โตมักได้แก่ เปียโน, ไวโอลิน, เชลโล, ฟลูท, หรือแม้กระทั่งระนาดเอก ก็ยังเคยนำมาทำเป็นบทเพลงประเภทคอนแชร์โตในการเขียนชื่อเพลงประเภทคอนแชร์โตนี้มักจะมีชื่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ ปรากฏอยู่หน้าคำ “Concerto” เช่น - เปียโนคอนแชร์โต ในบันไดเสียง ซี เมเจอร์ ผลงานลำดับที่ 467 โดย โมทซาร์ท (Piano Concerto in C Major, K.467 by Mozart)- ไวโอลินคอนแชร์โน ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์ ผลงานลำดับที่ 61 โดย เบโธเฟน (Violin Concerto in D Major, Op 61 by Beethoven)

ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) #1 ~ Symphony

ซิมโฟนี (Symphony)

Arthur Jacobs ได้ให้คำนิยามของคำว่า ซิมโฟนี (Symphony) ในหนังสือ A New Dictionary of Music ไว้ว่า “ a sounding - together” ซึ่งแปลตามศัพท์ได้ว่า “เสียงที่รวมกัน” เป็นคำที่มาจากคำว่า “Sinfonia” ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซิมโฟนีเป็นบทเพลงที่เป็นรูปแบบและนิยมประพันธ์ในสมัยคลาสสิก (1750-1820) ในระยะแรก ๆ นั้นซิมโฟนียังมีรูปแบบที่ไม่แน่นอนนัก แต่ก็มีความแตกต่างจากเพลงในสมัยบาโรค (Baroque) ต่อมาได้มีการปรับปรุงจนมาถึงสมัยคลาสสิกทุกอย่างเริ่มมีแบบแผนมากขึ้น มีมาตรฐานที่เห็นชัดเจนขึ้น และใช้กันต่อมาจนถึงสมัยโรแมนติกและปัจจุบันบทเพลงซิมโฟนีที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยคลาสสิกถือว่าเป็นต้นแบบของบทเพลงประเภทนี้และบทเพลงจำนวนมาก ประพันธ์โดย ไฮเดิล (ค.ศ.1732-1809)

คีตกวีชาวออสเตรียนเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งซิมโฟนี” ไฮเดิลได้ประพันธ์บทเพลงซิมโฟนีไว้รวมทั้งสิ้น 104 บท (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535 :115)


รูปแบบของซิมโฟนีบทเพลงประเภทซิมโฟนีเป็นเพลงขนาดใหญ่ซึ่งผู้ประพันธ์เพลงประพันธ์ขึ้นอย่างมีกฏเกณฑ์และแบบแผนเพื่อใช้บรรเลงสำหรับวงออร์เคสตรา โดยทั่วไปบทเพลงซิมโฟนีประกอบด้วย 3-4 ท่อน (Movement) โดยมีการจัดรูปแบบของความเร็วจังหวะแต่ละท่อนมีความเร็ว ดังนี้


ท่อนที่ 1 (First Movement) เป็นบทนำของเพลงมักมีความยาวมากที่สุด ใช้รูปแบบโซนาตาอัลเลโกร (Sonata Allegro) มีลักษณะของความลึกซึ้งสลับซับซ้อน ความเร็วจังหวะใช้ในลักษณะของ อัลเลโกร (Allegro)


ท่อนที่ 2 (Second Movement) โดยทั่วไปจะเป็นท่วงทำนองที่ช้าเป็นการพัฒนาทำนองหลักของบทเพลง (Theme) อาจใช้รูปแบบของแทร์นารี (ABA) มีลักษณะช้าใช้ในลักษณะของอันตาลเต (Andante), อะดาจิโอ (Adagio), หรือลาร์โก (Largo)


ท่อนที่ 3 (Third Movement) เป็นลีลาที่ไพเราะผ่อนคลายหรรษาไปตามบทเพลงที่เรียกว่า มีนูเอ็ท (Minuet) ลักษณะของโครงสร้างมักจะเป็นจังหวะเต้นรำมีการซ้ำทวนของทำนองต่าง ๆ มากที่สุด
ลักษณะของความเร็วแบบสนุกสนาน เร็ว อาจจะเป็น อัลเลโกร (Allegro),อัลเลเกร็ตโต(Allegretto), วิวาเช (Vivace)


ท่อนที่ 4 (Fourth Movement) มักจะมีท่วงทำนองที่เร็วและมีสาระของเพลงน้อยกว่าท่อนอื่น บางครั้งก็เป็นลีลาที่แปรผันมาจากทำนองหลัก (Theme) ความเร็วของจังหวะมีลักษณะเร็วเร้าใจแบบอัลเลโกร (Allegro) หรืออัลเลเกร็ตโต(Allegretto), และ วิวาเช (Vivace)

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #8 ~ Mass

แมส (Mass)

แมส คือ บทเพลงสวดของชาวโรมันแคธอลิค มีพิธีสวดเรียกว่า พิธีแมส หรือ พิธีมิสซา เป็นพิธีสวดมนต์ในพิธีถวายมหาบูชาแก่พระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนรวมไปถึงการเทศน์ของบาทหลวงด้วย มีบทสวดต่าง ๆ ตามแต่บาทหลวงจะเป็นผู้กำหนดเป็นภาษาละติน ปัจจุบันแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ที่ใช้กันทั่วโลก บทสวดเหล่านี้ถูกนำมาใส่ทำนองที่แต่งขึ้นลึกซึ้งพิสดารออกไปทุกที เพื่อแสดงความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดความสามารถของคีตกวี บทสวดในพิธีแมสหรือมิสซา จึงกลายเป็นชื่อ เพลงแมส หรือ เพลงมิสซา ไปเพราะฉะนั้นเพลงแมส ก็คือ เพลงขับร้องประสานเสียงชั้นสูง ที่คีตกวีแต่งทำนองร้องประสานเสียง โดยมีเนื้อร้องเป็นบทสวดภาษาละติน 5 บทด้วยกัน โดยเริ่มจากบท Kyrie “Lord have mercy”, Gloria, Credo, Sanctus, และ Agnus Dei เป็นต้นไป ในบางตอนของเพลงแมสจะมีการขับร้องเดี่ยว หรือเดี่ยวประกอบการประสานเสียงเพลงมิสซา มี 3 ประเภท คือ (ดนัย ลิมปดนัย,2522 :75)

Missa Solemins เป็นเพลงแมสที่ยาวที่สุด ประกอบด้วยเพลงย่อย ๆ หลาย ๆ เพลง ใช้ในงานที่เป็นพิธีรีตรองสำคัญ ๆ เช่น เพลง Mass in D, Op. 123 ของ BeethovenMissa Prodefunctus (Requiem) หรือ the Mass for the Dead มักเรียก Missa Requiem เรควิเอียม (Requiem Mass) คือ เพลงสวด

สำหรับงานศพ เรียกว่าแมสแห่งความตาย เพื่อสวดอ้อนวอนพระเจ้าให้มารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ โดยทั่วไปคีตกวีจะทุ่มเทแรงใจแรงกายแต่งเรควิเอียมขึ้นเพื่อไว้อาลัยใคร อาจจะเป็นบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่ง บุคคลที่ตนเคารพนับถือ เมื่อสิ้นชีวิตลงคีตกวีผู้มีความผูกพันกันก็จะแต่งเรควิเอียมขึ้นอย่างเต็มความสามารถ เพื่อแสดงถึงความระลึกถึง ความผูกพัน และความรักอาลัยที่คีตกวีมีต่อผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงสวดธรรมดา หรือเพลงสวดในงานศพ จัดได้ว่าเป็นเพลงขนาดใหญ่ต้องการความสามารถในการประพันธ์เป็นอย่างมาก เพลงประเภทนี้จึงมีความยาวมากมีหลายท่อน การร้องมีทั้งร้องเดี่ยว ร้องผสมวง และ
การร้องแบบประสานเสียงวงใหญ่รวมทั้งวงออร์เคสตรา คีตกวีแต่ละคนที่ประพันธ์เพลงเหล่านี้ จึงมักใช้เวลาในช่วงที่ตนมีความชำนาญมากแล้วหรือในช่วงมีอายุแล้วประพันธ์เพลงเหล่านี้ ซึ่งนอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วยังถือเป็นเพลงชั้นสูงถ้าไม่แน่ใจ หรือไม่ตั้งใจจริงแล้ว ผู้ประพันธ์เพลงจะไม่คิดประพันธ์เพลงประเภทนี้ โมทซาร์ทซึ่งจัดเป็นผู้ประพันธ์เพลงอัจฉริยะผู้หนึ่ง ประพันธ์เพลงแมสธรรมดา ไว้สองเพลง และประพันธ์เรควิเอียมไว้ 1
เพลง แต่ตอนท้ายประพันธ์ไม่จบเสียชีวิตเสียก่อน ลูกศิษย์ผู้หนึ่งคือ ซูสไมเออร์ประพันธ์ต่อจนจบตามโครงสร้างที่โมทซาร์ทได้วางไว้

แมสจึงจัดเป็นเพลงที่ต้องใช้ความสามารถในการประพันธ์มาก การแสดงเพลงประเภทนี้ก็ต้องการการเตรียมตัวอย่างมากทั้งผู้ร้องและวงออร์เคสตรา รวมทั้งผู้จัดการแสดง ดังนั้นเมื่อมีการแสดงเพลงประเภทนี้เมื่อใด ผู้ฟังมักจะตื่นเต้นและตั้งใจไปฟังเสมอ ซึ่งก็ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีการแสดงเพลงประเภทนี้

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #7 ~ Cantata

แคนตาตา (Cantata)

แคนตาตา(Cantata) คือ บทประพันธ์ประเภทเพลงร้องที่นิยมประพันธ์กันในสมัยบาโรค ประกอบไปด้วยเพลงร้องหลายท่อน ได้แก่ การร้องเดี่ยว การร้องคู่ การร้องในลักษณะของการพูด (Recitative) และการร้องประสานเสียง บทร้องมีทั้งเกี่ยวข้องกับศาสนา และเรื่องทั่ว ๆ ไป บาคซึ่งประพันธ์แคนตาตาไว้มากมายล้วนเกี่ยวข้องกับศาสนาแทบทั้งสิ้น กล่าวคือประพันธ์แคนตาตา (Cantata) เกี่ยวกับศาสนาไว้ประมาณ 200 บท และแคนตาตาในลักษณะอื่น ๆ ไว้ประมาณ 25 บท รูปแบบสำหรับแคนตาตาเกี่ยวกับศาสนามักจะประกอบไปด้วย การเริ่มต้นของการร้องประสานเสียงที่ยืดยาวลักษณะของฟิวก์ ติดตามด้วยการร้องเดี่ยวและการร้องในลักษณะของการพูดของผู้ร้องเสียงต่าง ๆ ปิด ท้ายด้วยการร้องประสานเสียงสี่แนวแบบเพลงสวด (Recitative หรือ Hymn เช่นChrist lagintodesbanden, Ein Feste burg ist unser Gott Coffe ส่วนแคนตาตาเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ไปเช่น Cantata Peasant Cantata) ผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ ที่ประพันธ์แคนตาตาไว้นอกจากบาค ได้ ทันเดอร์ บุกสเตฮูเด สการ์แลนตตี คาริสซิมี คัมปา และราโม เป็นต้น (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2535: 126)

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #6 ~ Oratorio

ออราทอริโอ (Oratorio)

คือ บทเพลงที่ประกอบไปด้วยการร้องเดี่ยวของนักร้องระดับเสียงต่าง ๆ การร้องของวงประสานเสียง และการบรรเลงของวงออร์เคสตรา ซึ่งบทร้องเป็นเรื่องราวขนาดยาวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แสดงในโรงแสดงคอนเสิร์ตหรือในโบสถ์ โดยไม่มีการแต่งตัวแบบละคร ไม่มีการแสดงประกอบ และไม่มีฉากใด ๆ ในขณะแสดง ลักษณะของออราทอริโอ (Oratorio)คล้ายกับโอเปราที่ไม่มีฉากและการแสดงประกอบ ลักษณะเด่นที่ต่างไปจากเพลงโบสถ์อื่น ๆ ได้แก่ การประพันธ์บทร้องที่คำนึงถึงดนตรีประกอบมิได้มุ่งถึงบทร้องที่นำมาจากบทประพันธ์ของวัดแต่ดั้งเดิมดังเช่นเพลงโบสถ์ลักษณะอื่น ๆ นอกจากนี้ออราทอริโอยังเป็นเพลงที่มีความยาวมากซึ่งต่างไป

จากแคนตาตาอันเป็นบทเพลงที่สั้นกว่า ออราทอริโอบางบทถ้าแสดงโดยสมบูรณ์อาจจะยาวถึง 4-6 ชั่วโมง ต่อมามีการตัดเพลงบางท่อนออกไปเพื่อลดเวลาการแสดงให้เหมาะสมกับโอกาส

ออราทอริโอมีกำเนิดขึ้นโดยผู้ประพันธ์เพลงนาม Carisimi(1605-1674) แต่นั้นมา นักประพันธ์เพลงผู้มีชื่อเสียงในแต่ละสมัยล้วนประพันธ์เพลงประเภทนี้ไว้เสมอ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ Christmas Oratorio ของบาค Isarael in Egypt และ Messiah ของ Handel,The Creation และThe Seasons ของไฮเดิล (The Seasons มีบทร้องเกี่ยวกับฤดูต่าง ๆ มิได้เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงแต่ประการใด) Mount of Olives ของเบโธเฟน St. Paul Elijah ของเมนเดลซอน และ The Legend of St. Elizabeth ของลิสซต์ เป็นต้น (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2535: 125)

ในด้านผู้ชมจำเป็นที่ต้องทราบว่าเมื่อนักร้องประสานเสียงร้องถึงบทที่44เมื่อถึงคำว่า“Hallelujah”
ทุกคนในโบสถ์หรือหอประชุมจะลุกขึ้นยืน การลุกขึ้นยืนในตอนที่ร้องถึง“Hallelujah” ก็สืบเนื่องมาจากในครั้งที่ Handel ยังมีอยู่ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1743 ในการเสนอ “The Messiah” ต่อผู้ชมครั้งแรกในกรุงลอนดอน พระเจ้ายอร์จที่ 2 (King George II) ทรงพอพระทัยมาถึงกับประทับยืน เมื่อคณะนักร้องประสานเสียงร้องถึง “Hallelujah” ทุกคนในที่นั้นจึงต้องลุกขึ้นยืนตาม จนกระทั่งการร้องบทนั้นจบ จึงถือเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #5 ~ Motet

โมเท็ต (Motet)

โดยปกติแล้วจะอยู่ในตำราทางศาสนา (Sacred text) และใช้ในพิธีกรรมของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค (Roman Catholic) โมเท็ต กำเนิดขึ้นในต้นศตวรรษที่13 ในขณะนั้น นักประพันธ์เพลงมักแต่งบทประพันธ์ที่เสริมแต่งประดับประดาเกรเกอเลียนแชนท์ (Gregorian Chant) เขียนเป็นโน้ตแนวต่ำสุด เป็นเพลงขับร้องประสานเสียง 3 แนว เดิมใช้ภาษาละติน ส่วนแนวบนอีก 2 แนว เป็นทำนองเพลงที่มีอิสระต่างจากแนวต่ำสุดที่ร้องเป็นภาษาละติน และร้องเป็นภาษาฝรั่งเศส โมเท็ตจึงเป็นเพลงขับร้องที่มีอิสระทั้งทำนองเพลง จังหวะ ภาษา และเนื้อร้อง (สุมาลี นิมมานุภาพ, 2534: 360-361)

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #4 ~ Organum

ออร์กานุ่ม (Organum)

เป็นบทเพลงศาสนาร้องประสานเสียงแบบโพลิโฟนิค(Polyphonic Style) ซึ่งเป็นการริเริ่มการประสานเสียงครั้งแรกในดนตรีตะวันตก คือ การใช้ทำนองเพลงสอดประสานในระหว่างทำนองเพลงด้วยกันเอง ทำให้เกิดเสียงประสานขึ้นการขับร้องประกอบด้วยแนวทำนองหลัก 2 แนว ผู้ร้องทั้ง 2 แนวจะขับร้องกันคนละทางแต่การร้องจะดำเนินไปในเวลาเดียวกันตั้งต้นจนจบ (สุมาลี นิมมานุภาพ, 2534: 360)

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #3 ~ Chants

แชนท์ (Chants)

เป็นเพลงสวดของศาสนาคริสต์ในศาสนกิจต่าง ๆ ในสมัยต้นคริสต์ศตวรรษ เป็นการขับร้องล้วนไม่มีดนตรีประกอบ ผู้ร้องต้องใช้เสียงแสดงออกถึงความปิติ ความเลื่อมใส ศรัทธา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อสรรเสริญสดุดี เพื่อขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า

ลักษณะของเพลงแชนท์มีทั้งการใช้คำร้อง 1 พยางค์ต่อเสียงหนึ่งหรือ 2 เสียง หรือใช้คำร้อง1 พยางค์ต่อเสียง สองถึงสี่เสียง และที่มีเสียงแต่ละพยางค์เอื้อนยาว ในระยะแรกที่ศาสนาคริสต์ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในภาคตะวันออกของทวีปยุโรปภาษาที่ใช้ในบทสวดและใช้ขับร้องด้วยเป็นภาษากรีก ต่อมาศาสนาคริสต์ได้แพร่หลายมาทางทวีปยุโรปตอนกลางและทางทิศตะวันตก ในสมัยอาณาจักรโรมันผู้ร่ำรวยศิลปะและวัฒนธรรมเรืองอำนาจ ภาษาละตินจึงได้รับเลือกเป็นภาษาของศาสนาคริสต์ เป็นบทสวดและใช้ขับร้องตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 350 เป็นต้นมา

เพลงแชนท์ที่มีชื่อเสียงใช้กันมาจนปัจจุบันคือ เกรเกอเลียนแชนท์ (Gregorian Chant) ซึ่งเป็นเพลงแชนท์ทีพระสังฆราชเกรเกอเลียนมหาราช (Pope Gregory the Great) เป็นผู้รวบรวมแชนท์ที่มีใช้อยู่แล้วและแต่งเพิ่มเติมขึ้นอีกแล้วจัดลำดับบทเพลงสวดให้เป็นแบบฉบับ เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ค.ศ. 600 โดยมีเนื้อร้องเป็นภาษาละติน

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #2 ~ Ritual Music

ดนตรีขับร้องประกอบพิธีกรรม (Ritual Music)

ดนตรีได้เริ่มมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มานานแล้วมนุษย์เราทุกคนเกิดมาล้วนแล้วแต่มีความหวาดกลัวติดตัวมาทุกคนซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดดนตรีขึ้น กล่าวคือ การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกชนชาติทุกภาษาเกิดความกลัว ความกังวลใจ โดยคิดไปว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น หรือมีความเชื่อว่าเป็นจากการกระทำของภูตผีปีศาจ ฉะนั้น การที่จะทำให้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้หายไปก็สามารถทำได้โดยการบวงสรวง โดยการเต้นรำ การร้องเพลง เพื่อเป็นการอ้อนวอนต่อเทพเจ้า หรือเป็นการตอบแทนในความปรานีและอีกนัยหนึ่งก็เพื่อทำให้เกิดความสบายใจของมนุษย์เรา

จากจุดนี้เองได้มีนักปราชญ์ได้สันนิษฐานว่าเป็นต้นกำเนิดของดนตรีโดยมีการพัฒนาต่อมาจากบทร้องเพื่ออ้อนวอนต่อเทพเจ้าก็กลายมาเป็นเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาในสมัยต่อมาซึ่งมีลักษณะทำนองเพลงสั้น ๆ ขับร้องซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้ง จากการขับร้องคนเดียวกลายมาเป็นการขับร้องที่มีต้นเสียงและมีลูกคู่ตาม จนเป็นการขับร้องหมู่ชายหญิงประสานเสียงที่มีลักษณะต่าง ๆกันออกไปตามสมัย
ดนตรีประกอบพิธีกรรมหรือเพลงศาสนาเป็นดนตรีที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อถือในลัทธิในขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตามที่มนุษย์เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ สมมติขึ้น และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ศาสนารุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาคริสต์

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music) #1

ดนตรีประเภทขับร้อง (Vocal Music)
ดั่งที่เราได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ธรรมชาติให้มนุษย์ติดตัวมาทุก ๆ คนคือ “เสียง” เสียงพูด เสียงตะโกน เสียงที่แสดงความดีใจ เสียใจ เสียงร้องเพลง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันคือ “เส้นเสียง” (Vocal chord) เส้นเสียงของมนุษย์เรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เช่น ในวัยเด็กชายประมาณ 15-16 ปี ในเด็กหญิงอาจจะเร็วกว่าเด็กชายประมาณ 14-15 ปี แต่ถึงอย่างไรก็ตามเส้นเสียงดังกล่าวนี้มนุษย์เราสามารถใช้ได้จนถึงสิ้นอายุขัยไปเลย

วิลเลียม เบิร์ด (William Byrd) คีตกวีชาวอังกฤษสมัยพระนางเอลิซาเบ็ธที่หนึ่ง ได้สดุดีเสียงขับร้องของมนุษย์ไว้ว่า “เสียงของเครื่องดนตรีชนิดใดที่จะอาจเอื้อมมาเทียบกับเสียงขับร้องของมนุษย์ได้นั้นไม่มี”

ดนตรีประเภทขับร้องมีหลายประเภดนตรีประเภทขับร้องมีหลายประเภทดังนี้

ดนตรีขับร้องประกอบพิธีกรรม (Ritual Music)
แชนท์ (Chants)
ออร์กานุ่ม (Organum)
โมเท็ต (Motet)
ออราทอริโอ (Oratorio)
แคนตาตา (Cantata)
แมส (Mass)

Wednesday, March 12, 2008

ปวดเศียรเวียนเกล้า---เหตุเพราะภาษาไทย

มาปวดหัวกันเถอะ^^
ไม่ใช่อะไรหรอก แต่มาลองฝึกแต่งเรื่องจากคำที่กำหนดให้กัน ฮะฮะ รู้แหละค่ะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเลือกคำมาบรรยายให้เข้ากันกับเรื่องที่แต่ง แต่ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ ฝึกการใช้ภาษาไทยกันเนอะ
เรื่องที่โพสนี้เคยเป็นงานชิ้นหนึ่งของวิชาภาษาไทยตอนม.3 “นำคำที่กำหนดให้มาแต่งเป็นเรื่องราวโดยให้เนื้อเรื่องอยู่ภายในอาณาเขตบริเวณของโรงเรียน” ใช้เวลาแต่ง 2 ชั่วโมง! ความจริงแล้วครูให้เวลา 15 นาที! ก็มันเหลือเวลาแค่ 15 นาทีจริงๆแหละก่อนจะหมดชั่วโมงถึงเวลาที่ต้องส่ง แต่ดันใช้เวลาไปตั้ง 2 ชั่วโมงแหนะ โดนครูดุเลย...
แต่เราว่ามันคุ้มนะ ที่ใช้เวลาแต่งเรื่องนี้นานกว่าเพื่อนๆเค้า งานชิ้นนี้ได้คะแนนเต็ม ไม่อยากจะเชื่อเลย นึกว่าคะแนนจะหายหมดเพราะส่งช้าเสียแล้ว ครูเอามาอ่านให้ในห้องฟังด้วย^^ อายนิดๆ ภูมิใจหน่อยๆ แล้วก็ขำเพื่อนที่ทำปากงอนๆใส่ ก็อ้างอิงเอานิสัยของเพื่อนมาใส่ในเรื่องน่ะสิ ทำไงได้ล่ะ แต่งไปแต่งมานึกไม่ออกนี่หน่าว่าจะแต่งต่อยังไง พอดีเพื่อนคนนี้นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายชีวิตแต่งเรื่องของตัวเองอยู่ตรงหน้าพอดี เลยถูกจับมาเป็นตัวละครด้วยเสียเลย--

บรรยายมาเยอะ เอางานไปดูเลยก็แล้วกันนะคะ


คำที่(ครู)กำหนดให้
1.กงสุล 2.กรณี 3.กะไกร 4.กระชุ่มกระชวย 5.กระปริดปะปรอย 6.กะเพรา 7.กันดาร 8.กัลปาวสาน 9. การุญ 10.กำมะถัน 11.กำมะลอ 12.กำมะหยี่ 13.ขยะแขยง 14.ขมีขมัน 15.ขมุกขมัว 16.ขยุกขยิก 17.ใคร่ครวญ 18.จรรโลง 19.จระเข้ 20.ต้นจันทร์ 21.ชัชวาล 22.เชิ้ต 23.ซาบซ่าน 24.ตั๊กแตน 25.เต็นท์


ทำการบ้านในบรรยากาศโรงเรียน
ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านกันหมด แต่ครูพละกันนักเรียนบางส่วนยังคงวิ่งออกกำลังกายรอบโรงเรียนอย่างกระชุ่มกระชวย วันนี้ครูชัชวาลก็ร่วมวิ่งด้วย หมวกกำมะหยี่ที่ครูสวมนั้นเข้าชุดกับเสื้อเชิ้ตลายจระเข้ยี่ห้อดัง ฉันยิ้มอย่างขำขันเมื่อนึกภาพว่ามันเป็นของกำมะลอ

เสียงนกร้องที่ดังขึ้นเป็นระยะ ช่วยเพิ่มบรรยากาศการทำการบ้านใต้ต้นตะเคียนในโรงเรียนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ที่ทำงานประจำของฉันกับเพื่อนรักหรอก แต่ด้วยความขยะแขยงต่อซอสพริกที่มันักเรียนนิรนามทำหกเลอะเทอะเต็มโต๊ะประจำนั้นทำให้ฉันกับเพื่อนรักต้องย้ายมาทำการบ้านที่ใต้ต้นตะเคียนนี่

หลังจากทำใบงานเรื่องกำมะถันของวิชาวิทยาศาสตร์เสร็จแล้ว ฉันก็นั่งวาดรูปต้นจันทร์ในใบงานวิชาสังคมอย่างขมีขมัน แล้วจึงวาดรูปบ้านในชนบทที่กันดารลงไปเพิ่ม ส่วนเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็กำลังใช้กรรไกรตัดรูปตั๊กแตนออกจากนิตยสารท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพื่อเอาไปใช้ในรายงานการสำรวจสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน พลางขยับตัวขยุกขยิกไล่ยุงที่หมายจะกัดตัว แต่ไม่มีนิยายรักประเภทพระเอกกับนางเอกครองรักกันไปชั่วกัลปาวสารวางอยู่ข้างตัวเหมือนเคย เพราะฉันขอร้องไม่ให้นำนิยายมาที่โรงเรียนได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้ทำราบงานเรื่องโรคกระปริดประปรอยที่ค้างอยู่จนเสร็จเป็นแน่

แล้วฉันก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายหลังจากก้มหน้าก้มตาทำการบ้านมาเป็นเวลานานพอสมควร ฉันมองไปยังต้นไม้รอบๆตัวเพื่อพักสายตา ภารโรงเช็ดกระจกขมุกขมัวของหน้าต่างตึกเรียนเสร็จพอดี เขาหันมายิ้มให้ฉันอย่างการุญ ฉันยิ้มตอบแล้วหันมาทำการบ้านของตนเองต่อ

นั่งเขียนเรียงความต่อสักพักก็ต้องสะกิดปลุกเพื่อนจากฝันกลางวันกลับมาทำงานต่อ จากการที่ฉันใคร่ครวญสีหน้าของเพื่อนรักขณะเหม่อลอยแล้ว คงจะใจลอยไปถึงข้าวผัดกะเพราที่จะได้ทานในตอนเย็น หรือไม่ก็คงคิดถึงการไปเที่ยวต่างจังหวัด นอนเต็นท์กลางแจ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นแน่ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกสำหรับสุดสัปดาห์นี้ เพราะว่าทางโรงรียนจะพาไปทัศนศึกษาที่กุงสุลใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นโชดดีของนักเรียนจริงๆ เพราะการพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่กงสุลใหญ่นั้นต้องขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษ คิดได้ดังนี้ความรู้สึกรักโรงเรียนก็ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ฉันรักโรงเรียนนี้จริงๆ


จบแล้ว.....จบจนได้..........ในที่สุดก็จบ..................เฮ้อ!

Thursday, March 6, 2008

ในหลวงกรรแสง ...

ไปเจอมาจากบอร์ดในเว็บนึงนะคะ ถูกลบ(ย้าย?)ไปแล้วค่ะเพราะไม่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของบอร์ด อย่างไรก็ตามเนื้อความในนั้นน่าประทับใจมาก ไม่รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนเขียน แต่อยากนำมาเผยแพร่ให้อ่าน ขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้ด้วยละกันนะคะ (จะได้มั๊ยหนอ- -)

แนะนำ ไปหาเพลงบรรเลงช้าๆ มาฟังระหว่างอ่าน น้ำตาจะไหล...

เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้านเพาะช่าง

ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่ พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่

จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า

กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่

ท่านบอก เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่

เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

...ในหลวงทรงร้องให้..เห็นบ่อย

ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ

ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย รู้จำคำว่าว่า ''หน้าที่'' มากกว่า "สิทธิ"

เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด

เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่ เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง...

ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียน

อธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..

ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง...

เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า ..

ในหลวงทรงร้องไห้

ความสุขของพระมหากษัตริย์ หนึ่งปีที่ผ่านมา

เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง

คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาที

วันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เราได้ แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง

ที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป

ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน

เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนี ไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวายได้ไหม

พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ

และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่

ยังจำกันได้ไหม?

..... 34 ปีที่ผ่านมา วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด

วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล

เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น

ตำรวจทหารยิงประชาชน

ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ

เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า

" คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง "

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า

"คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน"

และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน

หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า

"เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?"

ผมไม่ได้ตอบ

แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า

พระองค์ทรงเป็น "SOUL OF THE NATION" หรือ"จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ"

ยังจำกันได้ไหม?

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่

เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด

เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส

เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ "สิทธิ" แต่ลืมคำว่า "หน้าที่"

เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้

เราสร้าง "กฎหมู่" ให้เหนือ "กฎหมาย"

เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย

เราก้าวร้าวต่อกัน

เราแตกแยกกัน

และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่

เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?

แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร

การที่เราใส่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร

มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่านั้นนะเหรอ

80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ

ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก

แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา

ทั้งๆที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์

พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ

ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้

ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม ด้วยข้าราชบริพาร

หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ

เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน

รู้จักความ พอเพียง และมีสติ

-เพียงเท่านี้เอง

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา?

เมื่อไหร่ผู้ใหญ่จะเลิกทะเลาะกัน


บทความจบแค่นี้ค่ะ แต่มีความคิดเห็นบางส่วนที่โพสไว้ แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกหลายๆอย่างของเยาวชน

จะไม่อ้างอิงถึงเจ้าของความคิดเห็นไม่ว่าใครใครนะคะ แค่อยากให้ได้รับรู้กันเอาไว้บ้าง

>

>>

>>>

"เห็นด้วยเลยค่ะ ถ้าคนไทยให้ความสำคัญกับคำว่าหน้าที่ของตนเองให้มากกว่านี้

แทนที่จะสนใจคำว่าสิิทธิ เมืองไทยคงจะน่าอยู่กว่านี้มากเลย

เราเองก็แอบหวังว่า ในรุ่นของพวกเราที่โตๆกันขึ้นไปทุกวัน จะช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้นกว่าทุกวันที่เ็้ป็นอยู่นี้

มาร่วมมือกันนะคะ ............คนไทย ต้องรักคนไทยด้วยกัน............. ถวายแด่องค์ในหลวงของเรา"

"ยอมรับน่ะอ่านกี่ครั้งน้ำตา ก็ไหลทุกครั้ง

แล้วทำมัยคนไทยที่มีอำนาจอยู่ในมือถึงไม่มีเศษเสี้ยวความคิดเล็ก ๆ ที่เหมือนพระองค์ท่านบ้าง

คอยแต่กอบโกยผลประโยชน์ของตัวเอง เคยคิดน่ะว่าขนาดตอนนี้มีพระองค์ท่านอยู่เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนตัวเล็ก ๆ เช่นพวกเรา

แล้วถ้าต่อไปไม่มีพระองค์ท่านพวกเราจะเอาอะไรเป็นทึ่พึ่งอีกล่ะ

เราจึงไม่อยากคิดถึงอนาคตข้างหน้าว่าบ้านเมืองเราจะเป็นยังไงถ้านักการเมือง และข้าราชการบางคนยังเป็นเช่นนี้อยุ่

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

อยู่เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนตัวเล็ก ๆ เช่นพวกเราไปอีกนานแสนนานด้วยเทอญ"

"ใช่เลย เมื่อไหร่คนไทยจะสามัคคีกันน๊าาา

เดี๋ยวนี้ไม่พอใจอะไรนิดๆหน่อยๆก็ประท้วงกัน

แล้วเหมือนอย่างหลายปีที่ผ่านมาไง

คนไทยทะเลาะกันเอง คนไทยทำร้ายกันเอง

มาถึงตอนนี้ ประเทศไทยกลับมามีการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว

ทุกๆอย่างพร้อมที่จะก้าวหน้า และคนไทยก้อต้องสามัคคีกันนะคะ ^^"

"ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ทุกอย่างอยู่ที่จิตใต้สำนึก

มีกันเป็นของตัวเองคงว่าอะไรไม่ได้..."

"ทำไมต้อง ....โกง.... เกลียดคำนี้จัง

สามัคคีกันได้มั๊ย"

"เฮ้อนั้นซิ...เมื่อไหร่ที่ผู้ใหญ่จะเลิกโกงกัน เลิกทะเลาะกันสักที"

"อยากจะบอกเลยว่า ไม่ว่าจะทำยังไง

การทุจริต ก็เกิดขึ้นทุกพรรคแหล่ะฮะ

แต่ต่างจากตรงที่ มากหรือน้อย ...

ทว่า ต่างจากประเทศ อื่นที่เค้ารักประเทศเค้าอย่างจริงจัง

เช่นญี่ปุ่น นายก ฆ่า ตัวตายเพราะเนื่องจาก โกงเงิน 100,000 เยน

หรือ เป็น เงินไทยเพียง สามหมื่นกว่าบาท เพราะเค้าสำนึกผิด และรักชาติ

ซึ่งคนไทยขาดในหัวข้อนี้"

"อดไจหายไม่ได้ ถ้าท่านไม่อยู่...จะเกิดอะไรขึ้นไนประไทย...ไทย

เราทั้งชาติไม่อยากทำไห้ท่านต้องรู้สึกเสียไจกับประชาชนของท่าน

แต่เพราะการกระทำของเราเองเมื่อไหร่เราจะหันหน้าพูดกันดีๆ

มีเเต่การเก่งเเย่งชิงดี หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง

เมื่อไหร่ที่ประเทศเราจะสงบ...."

"มันก็จริงน่ะ

ประเทศเรามันมีทุกอย่างสมบูรณ์

แม่น้ำลำคลอง ป่าไม้ อุดมสมูรณ์

เสียอย่างเดียว คนไทยเนี่ยแหละ

เมื่อไรจะมีความสามัคคีนะ"

"อ่านแล้วรู้สึกได้จริงๆค่ะ เราเองก็พยายามเป็นราษฎรที่ดีของพระองค์ ทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด และซื่อสัตย์ที่สุด รักในหลวงที่สุด พระองค์คือ บุคคลที่ประเสริฐสุดในโลก

เรามาทำความดีเพื่อในหลวง สามัคคีกันเถอะค่ะ

นักการเมืองก็เลิกกัดกันได้แล้ว"

"ผู้ใหญ่ไม่ยอมเลิกทะเลาะกันง่ายๆหรอกค่ะ ตราบใดที่มีโอกาศก็จะ 'เอาเปรียบ' กันเสมอๆ

เพราะไม่มีใครยอมใคร และไม่มีใครยอมลด 'ทิฐิ' ลง

ในหลวง พระองค์ทรงมีเหตุผลที่ไม่ทรงสละราชสมบัติ

ผักชีโรยหน้า ก็อาจจะจริง เพราะว่าเราใส่เสื้อเหลือง ใส่ริสแบนด์สีเหลือง

พูดคำว่า 'ทรงพระเจริญ'

แต่ไม่ได้ช่วยกันทำอะไรเพื่อ 'พ่อของแผ่นดินเลย'

เราเองก็ไม่ได้ทำอะไรเหมือนกัน แต่เราสวดมนต์เพื่อพ่อหลวงทุกคืน

เศรษฐกิจพอเพียงเราก็ทำไม่ได้ เพราะเรามีแต่กิเลส

มาช่วยกัน เท่าที่ทำได้นะคะ

อย่างน้อยก็เป็นหูเป็นตาให้ชาติบ้านเมืองก็ยังดี

คอร์รัปชั่นท้อปไฟว์ของโลก! น่าใจหายนะคะ..."

"อ่านแล้วอยากร้องไห้จัง

ตอนนี้ประเทศเราเป็นอย่างนี้จริงๆ

เฮ้อ~เมื่อไหร่จะสามัคคีกันอย่างจริงจังซะที

"ทำความดีจากหัวใจเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่พระองค์ต้องการ" "

Wednesday, February 13, 2008

Asu Wa Kuru Kara (Because tomorrow comes) - TOHOSHINKI



This transilation of lyric is so beatiful. Don't you think so?

The snow that's floating down is melting in my hands,
It's like it vanishes like it wasn't there.

Like falling snow from day to day,
Important things are easily forgotten,
We can't hold on to them,
All they do is float around you peacefully

Far~far away in the distance, at the corner of the universe,

Two people happened to meet each other by chance

I want to yell out these miraculous feelings,

I want to tell only you.
But I never told you what I wanted to say.
If you're lost or looking, I'll be here.
Now, I've already felt this single light,
I'll keep chasing it because if it gets away my future won't be calm.
No matter what, no matter what, if it stop,
my smile and tears will keep piling up.
We've already walked this journey,
and that's definitely the truth.
When the rain is pouring, I'll be your umbrella,
when the wind is blowing, I'll be your wall.
It doesn't matter how deep the evening darkness is,
because tomorrow will definitely come.
The blossoms of the spring or summer's sandy beaches,
the twilight of autumn or winter's warmth.
The many, many seasons will come back,
and I'll pass through freedom with my wishes.
Far far away (at the corner of the universe)
Far far away (I'm riding my emotions)
I want to yell out these miraculous feelings,
I just want to tell you.
No matter what, no matter what, if it stop,
my smile and tears will keep piling up.
We've already walked this journey,
and this fact hasn't disappeared.
When the rain is pouring, I'll be your umbrella,
when the wind is blowing, I'll be your wall.
It doesn't matter how deep the evening darkness is,
because tomorrow will definitely come.
I just want to tell you
because tomorrow will definitely come.

Friday, January 4, 2008

Eternal

Whirling the roadside tree, it is carried off in the leaf wind of the amber
The small shoulder which has been frozen a little the coat was applied quietly
You it is kind, your voice non wicked angry face
Quite, like the ball which is positive therefore
We would like to protect forever, in my arm
While white sigh superposing
Now pouring this thinking which starts overflowing to you
Heart swinging judo kana time, you felt
The being confused to word immediately, as for you like the kitten
The manner where you grasp the hand which system is and is strongly
and return and presumes suddenly
Desired perfectly not yet come from this one?
Keeps drawing may the air did
It can flap to everywhere, your dream the ride
The past tear rubbing
In order to lead me, illuminates the light which
which ties the thinking two deeply without the rock Oh yeah
The time it may lose sight of you becoming
If the pupil you close, it appears, it true
This season rear no degree round come
I swear this love which is not the straw
It can flap to everywhere, your dream the ride
The past tear rubbing
We would like to protect forever, in my arm
While white sigh superposing
Now pouring this thinking which starts overflowing to you
Heart swinging judo kana time, you felt
Sing quietly in just poem you of faint love

CREDIT :XIAHJUNSUWORLD